วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2557

ไอศกรีมในประเทศไทย

ไอศกรีมในประเทศไทย

ไอศกรีมในประเทศไทย
ในประเทศไทยนั้น ไอศกรีมเริ่มเข้ามาในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมตะวันตกที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนำมาเผยแพร่ในสยาม หลังเสร็จประพาสอินเดีย, ชวาและสิงคโปร์ ในช่วงแรกยังไม่สามารถผลิตในประเทศได้ จึงต้องนำเข้าจากประเทศสิงคโปร์ เมื่อไทยสั่งเครื่องทำน้ำแข็งเข้ามาก็เริ่มมีการทำไอศกรีมกินกันมากขึ้น ถือว่าไอศกรีมเป็นของเสวยเฉพาะสำหรับเจ้าขุนมูลนายเท่านั้น
โดยไอศกรีมในพระราชวังนั้นจะทำจากน้ำมะพร้าวอ่อน ใส่เม็ดมะขามคั่ว จนต่อมาเมื่อมีโรงงานทำน้ำแข็ง แต่ก็ยังถือเป็นของชั้นดี โดยมีไอศกรีมระดับชาวบ้านทำเองด้วย ในช่วงแรก ๆ นั้นไอศกรีมกะทิมีลักษณะเป็นน้ำแข็งละเอียดใส ๆ รสหวานไม่มาก และมีกลิ่นหอมของดอกนมแมว ในสมัยนั้นวิถีการกินของผู้คนจะนิยมกินอาหารกันในเรือนแพ เหมือนที่สมัยนั้นจะขายก๋วยเตี๋ยว หรือกาแฟกันบนเรือ
ลักษณะของไอศกรีมกะทิใส่ถ้วยพร้อมโรยด้วยถั่วลิสงคั่วก็มีมาตั้งแต่สมัยนั้น ซึ่งต่อมาไอศกรีมกะทิก็มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาขึ้น จากกะทิใส ๆ ก็มีความเข้มข้น มีการใส่ลอดช่อง, เม็ดแมงลัก และขนุนฉีกเข้าไป โดยคนไทยได้ดัดแปลงไอศกรีมของต่างชาติมาเป็นไอติมกะทิ โดยใช้กะทิสดผสมกับน้ำตาลนำไปปั่นให้แข็ง เนื้อไอติมค่อนข้างใสเป็นเกล็ดน้ำแข็งละเอียด เวลารับประทานต้องขูดไอติมออกจากขอบหม้อโลหะเมื่อไอติมเริ่มแข็งตัว ตอนขายตักใส่ถ้วยเป็นลูก ๆ เรียกไอติมตัก กินกับถั่ว ข้าวเหนียว หรือลูกชิด บางคนกินกับขนมปังที่หั่นเป็นท่อน และมีรอยแยกเป็นร่องอยู่ตรงกลาง
ส่วน ไอศกรีมหลอด หรือไอศกรีมแท่งก็เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 7 โดยใช้น้ำหวานใส่หลอดสังกะสีและเขย่าให้แข็ง และมีก้านไม้เสียบ โดยจะใส่ถังขับไปขายตามถนน สั่นกระดิ่งเป็นสัญญาณเพื่อเรียกลูกค้า นอกจากนี้ยังมีจุดขายที่การลุ้นไอศกรีมฟรีจากไม้เสียบที่หากมีสีแดงป้ายอยู่ก็จะได้กินฟรีอีกหนึ่งแท่งด้วย ซึ่งไอศกรีมแบบหลอดก็มีการพัฒนาจนมาเป็นไอศกรีมโบราณที่มีส่วนผสมของนมโดยมีลักษณะเป็นแท่งสี่เหลี่ยม อาจทานเป็นแท่ง หรือตัดใส่ถ้วยรับประทานก็ได้
จากนั้นมาก็เป็นยุคของไอศกรีมแบบวัฒนธรรมตะวันตกแท้ ๆ จนถึงปัจจุบัน

10 วิธีคลายเครียดจากการทำงาน

10 วิธีคลายเครียดจากการทำงาน

คลายเครียดจากการทำงาน-ic
การทำงานเป็นสาเหตุให้คนเราเกิดความเครียดได้เสมอ และเมื่อเกิดความเครียดแล้ว แต่ละคนจะมีปฏิกิริยาแตกต่างกันออกไป บางคนอาจปวดศีรษะ ไมเกรนกำเริบ บางคนท้องอืดเฟ้อ บางคนหงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย บางคนกัดหรือฉีกเล็บ บางคนนั่งเขย่าขาโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาการเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณเตือนให้รีบผ่อนคลายความเครียดได้แล้ว ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
1. งดกาแฟถ้วยที่ 2 – ดื่มกาแฟวันละ 1 แก้วดีต่อสุขภาพ แต่หากดื่มเป็นแก้วที่ 2 คาเฟอีนจะทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น 16 ครั้งต่อนาที ทำให้รู้สึกใจสั่นและมีความกังวลเพิ่มขึ้น
2. หามุมสงบ-ฟังเพลง – ฟังเพลงเบาๆ โดยเฉพาะเพลงแนวสบายๆทั้งเสียงบรรเลงดนตรีและเสียงธรรมชาติ อย่างเสียงคลื่น น้ำตก นกร้อง จะช่วยสร้างสมาธิให้กลับคืนสู่สมองและจิตใจได้อย่างน่ามหัศจรรย์
3. หลับตาผ่อนคลาย – การรักษาสมดุลแห่งความเครียด คือ การฝึกจิตง่ายๆ ครั้งละ 10 – 15 นาที เช้าและเย็น ด้วยการนั่งท่าสบายๆ อยู่ที่โต๊ะทำงานของคุณ หนุนศีรษะบนแขนที่วางไขว้กัน หลับตาและปล่อยตัวตามสบาย เพื่อผ่อนคลายง่ายๆและพักสายตาจากจอคอมพิวเตอร์
4. เปลี่ยนอิริยาบถ – อาจย้ายที่นั่ง หรือลุกขึ้นยืน เดินไปเดินมา มองโน่นมองนี่บ้าง เบี่ยงเบนความสนใจไปยังเรื่องอื่น ทำให้ลืมความเครียดไปชั่วขณะ ก่อนที่จะกลับมาทำงานอีกครั้งด้วยความคิดและมุมมองใหม่ ๆ
5. สูดกลิ่นหอม – กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์จะช่วยปลุกประสาทสัมผัสให้สดชื่นตื่นตัว แถมยังกระตุ้นพลังงานในจิตใจได้เป็นอย่างดี เวลาเครียดๆ ลองสูดกลิ่นหอมของดอกไม้ อย่างกุหลาบ มะลิ ลาเวนเดอร์ หรือจะหยดน้ำมันหอมระเหยตรงโต๊ะทำงานก็จะรู้สึกดีขึ้นได้
6. หนังสือบำบัด – หาหนังสือเล่มโปรด ที่อ่านแล้วรู้สึกสบายใจ มาไว้ใกล้มือ เครียดเมื่อไหร่หยิบมาพลิกอ่านสักหน้าสองหน้าแก้เครียด
7. มองออกไปไกล ๆ – หากที่ทำงานของคุณอยู่บนตึกสูง ให้มองผ่านกระจกออกไปไกล ๆ จะเห็นวิวโดยรอบ ซึ่งจะช่วยให้คุณรู้สึกปลอดโปร่งและผ่อนคลาย
8. สร้างอารมณ์ขัน – หลังจากทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ลองชวนเพื่อนที่มีอารมณ์ขันคุยเบาๆ จะช่วยกระตุ้นจิตใจที่แสนห่อเหี่ยวให้หัวเราะได้อีกครั้ง คนที่หัวเราะง่ายมักมีสุขภาพกายและจิตที่ดี เนื่องจากการหัวเราะจะช่วยลดความดันโลหิตและระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นการรักษาสมดุลของระบบประสาททางหนึ่งด้วย (ฮอร์โมนคอร์ติซอล : ฮอร์โมนแสดงความเหนื่อยล้าในกระแสเลือด)
9. สร้างกำลังใจให้ตัวเอง – ความผิดพลาดบางอย่างที่แก้ไขไม่ได้ก็ใช้เป็นบทเรียน แต่จงอย่างให้ความผิดพลาดนั้นกลายเป็นสิ่งที่มากดดันให้เครียดมากจนเกินไป
10. คิดในทางบวก – จำไว้ว่าการมองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน คิดถึงประสบการณ์ดีๆ ที่ผ่านมาในชีวิตให้บ่อยขึ้น รวมถึงคิดถึงความปรารถนาดีของคนอื่นที่มีต่อเราก็จะช่วยให้เครียดน้อยลงและมีความสุขมากขึ้นได้

วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2557

Modals

Passive Voice

เกาะตะปู

เกาะตะปู

เกาะตะปู
เกาะตะปู ตั้งอยู่ในบริเวณทะเลด้านนอก ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จากที่ทำการอุทยานฯตามลำคลองเกาะปันหยีจังหวัด เกาะตะปู มีลักษณะเป็นเกาะเดี่ยว รูปร่างคล้ายตะปู มีศัพท์เฉพาะทางธรณีวิทยาว่า เกาะหินโด่ง (Stack) การชมเกาะตะปูต้องชมในระยะไกลจากเรือ หรือจากสันดอนของเกาะเขาพิงกัน ไม่สามารถขึ้นไปบนเกาะได้

เกาะตะปู เป็นเขาหินปูน (Limestone) มีอายุยุคเพอร์เมียน (Permian) หรือประมาณ 295-250 ล้านปี เนื่องจากหินปูนมีคุณสมบัติสึกกร่อนจากการละลายน้ำได้ง่าย ดังนั้นเกาะต่าง ๆ ในบริเวณอ่าวพังงาจึงมีรูปร่างแปลก ๆ และมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับการผุพังทำลายของเนื้อหิน
กำเนิดของเกาะตะปูมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลสมัยโบราณ เดิมเกาะตะปูและเกาะเขาพิงกันด้านตะวันออกมีสภาพเชื่อมต่อเป็นผืนเดียวกัน และอยู่บนผืนแผ่นดิน การเคลื่อนไหวของเปลือกโลกในเวลาต่อมา ทำให้เกิดมีรอยเลื่อนใหญ่ ทำให้เขาตะปูแยกออกมาเป็นเขาลูกโดด
ระดับน้ำทะเลใหม่ได้กัดเซาะส่วนล่างของเกาะตะปูให้เกิดเป็นรอยน้ำเซาะหินแนวใหม่ คือ ระดับที่เป็นส่วนคอดกิ่วที่สุด และเป็นบริเวณที่มีสิ่งมีชีวิตเช่น หอย เพรียง เกาะอาศัยอยู่โดยรอบเมื่อได้นำซากหอยนางรมที่ติดอยู่ในแนวรอยกัดเซาะนี้ไปหาอายุโดยวิธีคาร์บอนรังสี (C14) ได้อายุประมาณ 2,620 + 50 ปี แสดงว่ารอยคอดกิ่วนี้เกิดจากการกัดเซาะของน้ำทะเลเมื่อเวลาประมาณ 2,500 ปีที่ผ่านมา หลังจากนั้นน้ำทะเลจึงลดระดับลงมาอยู่ที่ระดับปัจจุบัน ส่วนที่คอดกิ่วที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 ปีที่ผ่านมานี้เอง ทำให้เกาะตะปูมีลักษณะโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศ
เกาะตะปูมีปัญหาการพังทลาย อันเกิดจากการกัดเซาะกัดเซาะของน้ำทะเล การขุดเจาะเนื้อหินเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์จำพวกหอยนางรม เพรียง ปู ฯลฯ ความแรงของคลื่นลมในฤดูมรสุม การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของโลก เนื่องจากปฏิกิริยาเรือนกระจกอันอาจมีผลให้คลื่นลมเปลี่ยนความเร็ว และสุดท้ายคือการ ถูกรบกวนด้วยกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การจอดเรือโดยการทิ้งสมอการผูกเรือไว้รอบเกาะ รวมทั้งคลื่นจากเรือหางยาวที่วิ่งรอบเกาะ
เกาะตะปูเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง จนมีภาพยนตร์ฮอลลีวูดมาถ่ายทำที่เกาะตะปูนี้ ในปี พ.ศ. 2517 ภาพยนตร์เรื่องเจมส์ บอนด์ ตอนเพชฌฆาตปืนทอง (The Man with the Golden Gun) และเกาะตะปู ยังได้รับการขนานนามอีกชื่อหนึ่งว่า “James Bond Island” อีกด้วย

เจ็ทความเร็วเหนือเสียง เครื่องบินแห่งอนาคต

เจ็ทความเร็วเหนือเสียง เครื่องบินแห่งอนาคต

cxbasdb
2 ยักษ์ใหญ่แห่งวงการผลิตเครื่องบินโดยสาร กำลังเร่งพัฒนาเครื่องบินเจ็ทเหนือเสียงกันอยู่ในขณะนี้ โดย Aerion กำลังผลิต เครื่องบินที่จะมีความเร็วที่มัค 1.6 คาดว่าจะเสร็จในปี 2020 โดยจะมีชื่อว่า S-512 ในขณะที่ Aerospace กำลังสร้างเครื่องบินที่ความเร็วมัค 1.8 และจะเสร็จในปี 2018 เครื่องบินทั้ง 2 จะไม่มีหน้าต่างเพราะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิด Sonic Boom (เสียงรบกวนที่เกิดจากช็อคเวฟ) แต่จะมีจอด้านข้างที่ฉายรูปภาพภายนอกแบบ Real-Time แทน

เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย และเพิ่มความเร็ว S-512 จะไม่มีหน้าต่าง แต่สายการบินจะมีหน้าจอให้มงเห็นก้านนอกผ่านกล้องแทน

ในช่วงกลางคืน ผู้โดนสารสามารถเลือกสกรีนได้ ถ้าหากไม่ต้องการดูภาพข้างนอก และยังสามารถใช้ดูหนังได้ด้วย

แน่นอนว่าเหมาะสำหรับการคุยงานเช่นกัน ผู้โดยสารสามารถอัพโหลดไฟล์เพาเวอร์พ้อยลงไป และเปิดเพื่อพรีเซ้นงานได้

อ่าวเปอร์เซีย

อ่าวเปอร์เซีย

อ่าวเปอร์เซีย
อ่าวเปอร์เซีย (Persian Gulf) เป็นอ่าวในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ เป็นส่วนต่อจากอ่าวโอมาน อยู่ระหว่างคาบสมุทรอาหรับกับประเทศอิหร่าน อ่าวเปอร์เซียเป็นแหล่งน้ำมันดิบแบบเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นที่ตั้งของแท่นขุดเจาะน้ำมันอัลซะฟะนียะ (Al-Safaniya) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ลอยตัวอยู่กลางอ่าวเปอร์เซีย

ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรน้ำมันและแก๊สธรรมชาติเหล่านี้ส่งผลให้ประเทศรอบอ่าวเปอร์เซียเป็นประเทศอุตสาหกรรมน้ำมันสำคัญ ซึ่งมีชื่อเรียกรวม ๆ ว่า รัฐรอบอ่าวเปอร์เซีย ได้แก่ ประเทศอิหร่าน บาห์เรน, คูเวต, โอมาน, กาตาร์, ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ส่วนอิรักนั้นมีพื้นที่ติดกับอ่าวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นอกจากนี้อ่าวเปอร์เซียยังเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติชนิดอื่น ๆ มีแนวปะการัง เหมาะสำหรับการทำประมงและหอยมุก เป็นต้น
อ่าวเปอร์เซียเป็นที่สนใจของประชาคมโลกเมื่อเกิดสงครามอิรัก-อิหร่านในช่วง ค.ศ. 1980-1988 ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันของฝ่ายตรงข้าม และสงครามอ่าวเปอร์เซียใน ค.ศ. 1991 เมื่ออิรักรุกรานคูเวตและถูกกองกำลังนานาชาติกดดันให้ต้องถอนกำลังกลับไป

นกพัฟฟิน : Puffin

นกพัฟฟิน : Puffin

SRL_Puffin_lg
นกพัฟฟิน : Puffin  เป็นหนึ่งในสามสปีชีส์เล็กๆของนกทะเลชนิดหนึ่ง ในนกจำพวก Fratercula ซึ่งมีจงอยปากสีสดใสในช่วงฤดูผสมพันธุ์ เป็นนกทะเลผิวน้ำที่หาอาหารด้วยการดำน้ำเป็นหลัก พวกมันสืบสายพันธุ์ในฝูงขนาดใหญ่บนหน้าผาชายฝั่งทะเลหรือเกาะ โดยการทำรังในรอยแยกในหมู่หินหรือในโพรงดิน

นกพัฟฟินเป็นนกเตี้ยสั้นปีกและหางสั้นมีส่วนบนเป็นสีดำและสีขาวอันเดอร์พาร์หรือน้ำตาลเทา หัวมีสีดำใบหน้าเป็นสีขาวสะส่วนใหญ่และเท้าเป็นสีส้มสีแดง
 
แม้ว่านกพัฟฟินมักส่งเสียงร้องในฝูงสืบสายพันธุ์ แต่พวกมันก็ไม่ส่งเสียงร้องในทะเล พวกมันบินเหนือน้ำในระดับที่ค่อนข้างสูง ซึ่งมักอยู่ที่ระดับ 10 เมตร
นกพัฟฟินถูกนักล่าหาไข่และเนื้อ ทำให้นกพัฟฟินลดลงต่อเนื่องจากการทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยและการใช้ประโยชน์ในช่วงศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20
 
ชนิดของนกพัฟฟิน
Atlantic Puffin พบในแอตแลนติกเหนือ ชายฝั่งทางเหนือของยุโรปใต้ไปทางเหนือ ฝรั่งเศส , เกาะอังกฤษ , หมู่เกาะแฟโร , ไอซ์แลนด์ , กรีนแลนด์ , นอร์เวย์ และ แอตแลนติกแคนาด  ฤดูหนาวไปทางทิศใต้ โมร็อกโก และ นิวยอร์ก
 
Horned Puffin พบในชายฝั่งของ ไซบีเรีย , อลาสกา และ บริติชโคลัมเบีย ฤดูหนาวลงใต้ไปยัง แคลิฟอร์เนีย
 
Tufted Puffin พบในบริติชโคลัมเบียตลอดทางตะวันออกเฉียงใต้อลาสกาและ เกาะ Aleutian ฤดูหนาวไปทางทิศใต้ Honshu และแคลิฟอร์เนีย

วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2557

โพไซดอน หนึ่งในเทวสภาโอลิมปัส

โพไซดอน หนึ่งในเทวสภาโอลิมปัส

โพไซดอน
โพไซดอน (Poseidon) เป็นหนึ่งในสิบสองเทพโอลิมปัสในเทพปกรณัมกรีก มีสมญาเทพแห่งทะเล แผ่นดินไหว พายุและม้า เทียบเท่ากับเนปจูนในเทพปกรณัมโรมันมีสมญา ตามตำนานเล่าว่า โพไซดอนเป็นบุตรของโครนัสกับรีอา มีพี่น้องร่วมบิดามารดาอีก 5 องค์ ซึ่งล้วนแต่เป็นเทพโอลิมปัสทั้งสิ้น

รูปลักษณ์ของโพไซดอน ส่วนมากจะปรากฏเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างกำยำล่ำสัน มีหนวดเครา ถือสามง่ามเป็นอาวุธ ซึ่งสามง่ามนี้มีอิทธิฤทธิ์มาก สามารถดลบันดาลให้เกิดทะเลคลั่งหรือแผ่นดินไหวได้
ครั้งหนึ่งโพไซดอนเคยคิดที่จะโค่นอำนาจของซุส โดยร่วมมือกับเฮราและอะธีนา แต่ไม่สำเร็จ จึงถูกซุสลงโทษ โดยการให้ไปสร้างกำแพงเมืองทรอยร่วมกับอพอลโลด้วยเช่นกัน
โพไซดอน มีพาหนะเป็นม้าน้ำเทียมรถ ที่มีส่วนบนเป็นม้าและท่อนล่างเป็นปลา ซึ่งบางครั้งจะพบรูปโพไซดอนอยู่บนรถเทียมม้าน้ำนี้ขึ้นมาจากทะเล
ในสมัยโบราณ ที่แหลมสุนิอ้อน ห่างจากกรุงเอเธนส์ เมืองหลวงของกรีซไม่มาก มีวิหารที่สร้างถวายแด่โพไซดอนอยู่

วันพุธที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2557

กังกุน ( Cancún)

กังกุน ( Cancún)

กังกุน
กังกุน ( Cancún) เป็นเมืองชายฝั่งทางรัฐตะวันออกสุดของประเทศเม็กซิโก บนคาบสมุทรยูกาตัน รัฐกินตานาโร เป็นเมืองศูนย์กลางการท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวนานาชาติที่ได้รับการรับรองจาก UNWTO ที่มีรีสอร์ตสำหรับท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ศูนย์กลางเมืองตั้งอยู่บนแผ่นดินใหญ่ในรัฐกินตานาโรทางใต้ของเม็กซิโก ด้วยระยะทางประมาณ 1,700 ก.ม.ห่างจากกรุงเม็กซิโกซิตี
โดยทางองค์กร ได้เริ่มโครงการพัฒนากังกุนให้เป็นเมืองท่องเที่ยวนานาชาติตั้งแต่ปี 1974 หลังจากนั้นเป็นต้นมา กังกุนได้เปลี่ยนจากเกาะสำหรับนักตกปลาเล็กๆ มาเป็นหนึ่งในสองสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่เต็มไปด้วยรีสอร์ต ควบคู่กันกับเมืองอากาปุลโก (Acapulco) WTO (World Tourism Organization) ได้มอบรางวัล Best of the Best ในด้านความยอดเยี่ยมและการปกครองที่ดีเลิศแก่เมืองกังกุน เมื่อปี 2007
การพัฒนาเริ่มต้นเมื่อ 23 มกราคม 1970 ขณะนั้นเกาะกังกุนมีเพียงสามพื้นที่สำหรับอาศัยอยู่เท่านั้น ได้แก่ชุมชนผู้ดูแลสวนมะพร้าวของดอน โฮเซ่ แห่งเยซูลิมากุเตียเรซ ที่อาศัยอยู่ในเกาะมุเฮเรซและมีเพียง 117 คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงปวยร์โตฮัวเรซ, หมู่บ้านชาวประมง และฐานทัพทหาร
ชาวกังกุนส่วนใหญ่มาจากยูกาตันและรัฐอื่น ๆ ในเม็กซิโก และยังมีประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากส่วนที่เหลือของทวีปอเมริกาและยุโรป หน่วยงานเทศบาลได้ต่อสู้เพื่อให้บริการสาธารณะสำหรับการรองรับการไหลเข้าอย่างต่อเนื่องของผู้คนรวมทั้งควบคุมดูแลการพัฒนาไม่ให้ผิดปกติ ซึ่งขณะนี้ครอบครองพื้นที่ประมาณสิบถึงสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของพื้นที่แผ่นดินใหญ่บนขอบของเมือง

สะพานกรุงเทพ (Krung Thep Bridge)

สะพานกรุงเทพ
สะพานกรุงเทพ (Krung Thep Bridge) เป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งที่ 3 รองจาก สะพานพระราม 6 สะพานพระพุทธยอดฟ้า เชื่อมระหว่างบริเวณสี่แยกถนนตก เขตบางคอแหลมทางฝั่งพระนคร กับบริเวณสี่แยกบุคคโลในพื้นที่เขตธนบุรีทางฝั่งธนบุรี

ใช้ในการคมนาคมทางบกข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาและปิด-เปิด ให้เรือรบเข้าออก ลักษณะการก่อสร้างเป็นแบบคอนกรีตอัดแรง โดยวิธีการอิสระซึ่งยาวที่สุดในประเทศไทย มีช่องทางจราจร 4 ช่อง ความยาวสะพาน 350.80 เมตร ช่วงกลางน้ำยาว 226 เมตร เริ่มเปิดใช้งานเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2502 ปัจจุบันอยู่ในความรับผิดชอบของกรมทางหลวงชนบท
ปัจจุบัน สะพานกรุงเทพยังคงเปิด-ปิดอยู่ เพื่อให้เรือสินค้าที่แล่นเข้าออกเป็นประจำผ่าน แต่เมื่อมีการเปิด-ปิดสะพาน ก็ต้องมีการปิดการจราจร ทำให้เกิดปัญหาจราจรติดขัดเป็นอันมาก อีกทั้งเป็นสะพานที่อายุกว่า 50 ปี ทำให้มีปัญหาด้านกลไกเปิด-ปิดสะพานอยู่บ่อยครั้ง รัฐบาลจึงทุ่มงบสร้างสะพานที่สูงพอให้เรือสินค้าแล่นผ่านได้เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจร สะพานนั้นคือ สะพานพระราม 3

มหาวิทยาลัยฮุมโบลด์ทแห่งเบอร์ลิน

มหาวิทยาลัยฮุมโบลด์ทแห่งเบอร์ลิน

มหาวิทยาลัยฮุมโบลด์ทแห่งเบอร์ลิน
มหาวิทยาลัยฮุมโบลด์ทแห่งเบอร์ลิน (The Humboldt University of Berlin) เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงเบอร์ลิน เดิมทีเรียกว่า มหาวิทยาลัยเบอร์ลิน ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1810 (พ.ศ. 2353) ในชื่อ มหาวิทยาลัยแห่งเบอร์ลิน (Universität zu Berlin) โดย Wilhelm von Humboldt นักปฏิรูปการศึกษาและนักปรัชญาเสรีนิยมชาวปรัสเซีย
ต่อมามหาวิทยาลัยเบอร์ลินแห่งนี้กลายเป็นแม่แบบที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ในทวีปยุโรปและโลกตะวันตก มหาวิทยาลัยใหญ่ ๆ ทั้งในยุโรปและอเมริกาจำนวนมาก อาทิ มหาวิทยาลัยปารีส มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยมอสโกสเตท ล้วนแต่ต้องปรับตัวเมื่อมหาวิทยาลัยเบอร์ลินแห่งนี้โด่งดังขึ้นมา
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1828 (พ.ศ. 2371) มหาวิทยาลัยเป็นที่รู้จักกันในชื่อ มหาวิทยาลัยฟรีดรีช-วิลเฮล์ม (Friedrich-Wilhelms-Universität ตั้งตามชื่อผู้ปกครองแคว้น) และต่อมาก็รู้จักกันในชื่อ Universität unter den Linden (มหาวิทยาลัยใต้ต้นลินเดน). ต่อมาในปี ค.ศ. 1949 (พ.ศ. 2492) ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Humboldt-Universität ดังเช่นปัจจุบัน เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ก่อตั้ง.
ในสองศตวรรษที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยดังกล่าวกลายเป็นที่พำนักของนักคิดผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศเยอรมนีจำนวนมาก ซึ่งในจำนวนนั้นรวมถึง ฟิชเทอ, เชลลิง และเฮเกล นักปรัชญา, อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และ มักซ์ พลังค์ นักฟิสิกส์ผู้มีชื่อเสียง, คาร์ล มาร์กซ และ ฟรีดริช เองเงิลส์ ผู้ก่อตั้งทฤษฎีมาร์กซิสต์, คาร์ล เลียบเนคท์ ผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศเยอรมนี, ออทโท ฟอน บิสมาร์ค ผู้รวมประเทศเยอรมนี, และ โรเบิร์ท ชูมานน์ ผู้รวมยุโรป มหาวิทยาลัยนี้เป็นที่พำนักของผู้ได้รับรางวัลโนเบล 29 คน